อบเชยเถา
  ชื่อสามัญภาษาไทยอบเชยเถา
  ชื่อวิทยาศาสตร์Atherolepis pierrei Costantin
  ชื่อวงศ์Apocynaceae
  ชื่อท้องถิ่นเครือเขาใหม่ (แพร่), เชือกเถา (นครสวรรค์), อบเชยป่า (กรุงเทพฯ), กำยานเครือ เครือเขาใหม่ เถาเชือกเขา (ภาคเหนือ), จั่นดิน กู๊ดิน (ภาคอีสาน), อบเชยเถา (ภาคกลาง), ตำยาน
 
 
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ต้นอบเชยเถา จัดเป็นพรรณไม้เถาเลื้อยขนาดเล็ก เลื้อยพันต้นไม้อื่นหรือเลื้อยไปตามพื้นดิน มีความยาวได้ประมาณ 5-10 เมตร ลำต้นหรือเถามีขนสั้นและมีน้ำยางสีขาว เปลือกมีช่องระบายอากาศรูปไข่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป เถามีลักษณะกลมเรียว สีน้ำตาลเทาถึงสีน้ำตาลม่วง ลำต้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.3-2 มิลลิเมตร ส่วนรากมีกลิ่นหอมคล้ายเปลือกอบเชยต้น ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการทาบเถา เจริญเติบโตได้ดีในดินเกือบทุกชนิด พบขึ้นทั่วไปในทุกภาคของประเทศตามชายป่า 

ใบอบเชยเถา ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ ลักษณะของใบเป็นรูปขอบขนานหรือรูปขอบขนานแกมรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 0.8-2.8 เซนติเมตร และยาวประมาณ 2.5-6 เซนติเมตร ผิวใบเรียบเป็นสีเขียวเข้มหรือสีน้ำเงิน ลายเส้นใบเป็นสีขาว มองเห็นได้ชัดเจน ใบมีกลิ่นเหม็นเขียว มียางสีขาวข้น ก้านใบมีความยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร และมีขน ส่วนหูใบนั้นจะสั้นมาก ใบอ่อนจะมีขนตามเส้นกลางใบและเส้นใบ แล้วขนนั้นจะค่อย ๆ หลุดร่วงไปเมื่อใบแก่ 

ออกดอกเป็นช่อ โดยจะออกตามซอกใบ ช่อหนึ่งจะมีดอกประมาณ 5-6 ดอก กลีบเลี้ยงดอกมี 5 กลีบ สีเหลืองอมส้ม ส่วนกลีบดอกมี 5 กลีบ เป็นสีชมพูอ่อนหรือชมพูอมส้ม โคนกลีบดอกชิดติดกันเป็นรูปถ้วยหรือเป็นท่อสั้น ๆ ตรงปลายแยกออกเป็น 5 กลีบ ลักษณะของกลีบดอกเป็นรูปสามเหลี่ยมปลายแหลม กลีบดอกจะบิดไปในทางเดียวกัน เมื่อดอกบานจะกางออกแบบดอกมะเขือ มีขนขึ้นประปรายทั้งด้านในและด้านนอก ดอกมีเกสรเพศผู้ติดอยู่กับผนังใจกลางดอก โดยมีเกสรเพศผู้ 5 อัน ก้านเกสรไม่ติดกัน อับเรณูเป็นรูปไข่แกมสามเหลี่ยม ปลายแหลม ส่วนเกสรเพศเมียมี 1 อัน ปลายเกสรจะใหญ่กว่าท่อเกสร และมีลักษณะเป็นรูปห้าเหลี่ยม ปลายแหลมสั้น โดยจะออกดอกในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน 

ลักษณะของผลเป็นรูปไข่ยาว ติดกันเป็นคู่ ผิวผลเนียน มีร่องเป็นแนวตามยาว ผลมีขนาดยาวประมาณ 7-10 เซนติเมตร ภายในผลมีเมล็ด

สรรพคุณทั่วไป

  • รากใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ 
  • รากมีสรรพคุณช่วยทำให้ชุ่มชื่นกระปรี้กระเปร่า 
  • รากใช้ปรุงเป็นยาหอม ช่วยแก้ลมวิงเวียนศีรษะ รักษาอาการหน้ามืดตาลาย
  • รากใช้เป็นยาขับลมในลำไส้ ช่วยแก้อาการปวดมวนในท้อง ใช้เป็นยาแก้บิด แก้ท้องเสีย 
  • รากนำมาต้มกับน้ำ อบไอน้ำ แก้โรคผิวหนัง ผื่นคัน

 
 
แหล่งข้อมูลอ้างอิง

  1. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง.  (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ).  “อบเชยเถา”.  หน้า 151.
  2. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5.  (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).  “อบเชยเถา”.  หน้า 835-836.
  3. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน).  “อบเชยเถา”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [22 ก.ย. 2014].
  4. สำนักพัฒนาอาหารสัตว์ กรมปศุสัตว์.  “อบเชยเถา”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : nutrition.dld.go.th.  [21 ก.ย. 2014].
  5. ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้.  “อบเชยเถา”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : biodiversity.forest.go.th.  [22 ก.ย. 2014].