พริกขี้หนู ชื่อสามัญภาษาไทย | พริกขี้หนู | ชื่อสามัญภาษาอังกฤษ | Chilli Padi, Bird s Eye Chilli, Bird Chilli, Thai pepper, | ชื่อที่เกี่ยวข้อง | พริกแด้, พริกแต้, พริกนก, พริกแจว, พริกน้ำเมี่ยง | ชื่อวิทยาศาสตร์ | Capsicum frutescens L. | ชื่อพ้อง | Capsicum frutescens L., Capsicum frutescens var. frutescens, Capsicum minimum Mill.) | ชื่อวงศ์ | Solanaceae | ชื่อท้องถิ่น | พริกแด้ พริกแต้ พริกนก พริกแจว พริกน้ำเมี่ยง (ภาคเหนือ), หมักเพ็ด (ภาคอีสาน), พริก พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า (ภาคกลาง), ดีปลีขี้นก พริกขี้นก (ภาคใต้), พริกมะต่อม (เชียงใหม่), ปะแกว (นครราชสีมา), มะระตี้ (สุรินทร์), ดีปลี (ปัตตานี), ครี (กะเหรี่ยง-กำแพงเพชร), ลัวเจียะ (จีนแต้จิ๋ว), ล่าเจียว (จีนกลาง), มือซาซีซู, มือส่าโพ | | | ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ |
ต้นพริกขี้หนูจัดเป็นไม้ล้มลุกหรือไม้พุ่มขนาดเล็ก ที่มีความสูงของต้นประมาณ 30-90 เซนติเมตร มีอายุประมาณ 1-3 ปี แตกกิ่งก้านสาขามาก กิ่งอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนเหนียว ดินร่วนระบายน้ำดี ในที่ร่มรำไรหรือกลางแจ้ง ไม่ทนต่อสภาพน้ำขัง มักขึ้นร่วมกับวัชพืชชนิดอื่น ในประเทศไทยพบได้ทุกภาค
ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับตรงข้ามกัน ลักษณะของใบเป็นรูปไข่ รูปกลมรี หรือรูปวงรี ปลายใบแหลม โคนใบเฉียงหรือสอบ ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2-4 เซนติเมตร และยาวประมาณ 3-8 เซนติเมตร แผ่นใบเรียบเป็นสีเขียวมันวาว ก้านใบยาวประมาณ 4-7 เซนติเมตร
ออกดอกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบ ช่อละประมาณ 2-3 ดอก มีกลีบดอกประมาณ 5-7 กลีบ กลีบดอกเป็นสีขาว สีเหลืองอ่อนอมเขียว หรือสีเขียวอ่อน เกสรเพศผู้จะมีอยู่ประมาณ 5 อัน โดยจะขึ้นสลับกับกลีบดอก ส่วนเกสรเพศเมียจะมีอยู่เพียง 1 อัน (อีกข้อมูลระบุว่า เกสรเพศเมียมี 2 อัน) และมีรังไข่ประมาณ 2-3 ห้อง
ผลมีลักษณะยาวรี ปลายผลแหลม ออกในลักษณะหัวลิ่มลง (แต่โดยปกติแล้วผลอ่อนมักชี้ขึ้น เมื่อแก่แล้วจะชี้ลง) ผลมีขนาดกว้างประมาณ 3-5 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร ผลเป็นผลสดสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงหรือเป็นสีแดงปนสีน้ำตาล ลักษณะของผลมีผิวลื่น ภายในผลกลวงและมีแกนกลาง รอบ ๆ แกนจะมีเมล็ดเป็นสีเหลืองเกาะอยู่มาก เมล็ดมีลักษณะแบนเป็นสีขาวหรือสีเหลืองอ่อนและมีรสเผ็ด เมล็ดมีขนาดประมาณ 3 มิลลิเมตร
| สรรพคุณทั่วไป |
- ผลมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นทำให้เจริญอาหาร และช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย ส่วนยอดพริกและใบอ่อนพริกมีรสเผ็ด ช่วยเจริญอาหาร เพิ่มน้ำลาย และช่วยขับลม
- ต้นนำมาสุมให้เป็นถ่านใช้ชงกับน้ำเป็นยาแก้กระษัย
- ผลใช้เป็นยาแก้ตานซางซึ่งเป็นโรคที่มักพบได้ในเด็ก โดยมีอาการซูบซีด พุงโร ก้นปอด สันนิษฐานว่าเกิดจากโรคพยาธิในลำไส้
- ผลสุกนำมาปรุงเป็นอาหาร จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เนื่องจากมีสาร capsaicin
- ช่วยเร่งการสันดาปและเร่งเมตาบอลิซึม ช่วยใช้แคลอรีให้หมดไป จึงทำให้น้ำหนักลด และช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์และไขมันเลว (LDL) ในสัตว์ทดลองได้ เนื่องจากสาร Capsaicin จะช่วยป้องกันไม่ให้ตับสร้างไขมันเลว (LDL) ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มีการสร้างไขมันดี (HDL) ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดต่ำลง ซึ่งเป็นผลดีต่อสุขภาพ
- พริกสามารถช่วยลดความโลหิตได้ เพราะทำให้หลอดเลือดอ่อนตัวและช่วยทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดเป็นไปได้ด้วยดี
- รากพริกขี้หนูมีสรรพคุณเป็นยาฟอกโลหิต
- พริกมีสรรพคุณช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ช่วยสลายลิ่มเลือด
- การรับประทานพริกเป็นประจำจะช่วยลดการอุดตันของหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจล้มเหลวหรือจากการเสียชีวิตจากหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน เพราะช่วยทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ลดความดัน เนื่องจากสารจำพวกเบต้าแคโรทีนและวิตามินซีจะช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรง เพิ่มการยืดหดตัวของผนังหลอดเลือด ทำให้ปรับเข้ากับแรงดันในระดับต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น
- ช่วยทำให้อารมณ์แจ่มใส โดยสาร Capsaicin ที่มีอยู่ในพริกขี้หนูจะช่วยส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสาร Endorphin ซึ่งออกฤทธิ์คล้ายกับมอร์ฟีน คือ ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด และทำให้อารมณ์แจ่มใส
- ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ ปวดศีรษะเนื่องมาจากไข้หวัดหรือตัวร้อน ด้วยการใช้ใบพริกขี้หนูสด ๆ นำมาตำผสมกับดินสอพอง แล้วนำมาใช้ปิดบริเวณขมับ
- ตำรายาไทยจะใช้ผลซึ่งมีรสเผ็ดร้อนเป็นยาแก้ไข้หวัด ลดน้ำมูก บรรเทาอาการไอ ช่วยขับเสมหะ ทำให้การหายใจสะดวกสบายยิ่งขึ้น ส่วนใบมีสรรพคุณช่วยแก้หวัด
- ช่วยสลายเมือกในปอด ทำให้ทางเดินหายใจโล่ง ช่วยป้องกันหลอดลมอักเสบและถุงลมโป่งพอง สาร Capsaicin ที่มีอยู่ในพริกขี้หนูจะช่วยลดน้ำมูกหรือสิ่งกีดขวางต่อระบบการหายใจอันเนื่องมาจากเป็นไข้หวัด ภูมิแพ้ หรือไซนัส
- ช่วยรักษาอาการอาเจียน
- ใช้แก้อาการเจ็บคอ เสียงแหบ ด้วยการใช้น้ำต้มหรือยาชงพริกขี้หนู ที่เตรียมโดยการใช้พริกขี้หนูป่น 1 หยิบมือ เติมน้ำเดือดลง 1 แก้ว ทิ้งไว้ให้พออุ่น แล้วนำมาใช้กลั้วคอ
- รากใช้ฝนกับมะนาวแทรกเกลือ ใช้เป็นยากวาดคอ
- ช่วยขับลม แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อยและช่วยทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
- ช่วยรักษาโรคบิด
- ต้นนำมาสุมให้เป็นถ่านใช้แช่กับน้ำเป็นยาขับปัสสาวะ
- ใช้ขับน้ำคาวปลาของสตรี ด้วยการใช้ผงพริกขี้หนู 1 ช้อนโต๊ะ นำมาผสมกับน้ำส้มสายชู 1 ถ้วยชา ใช้กินครั้งละ 1/2-1 ถ้วยชา โดยให้กินครั้งเดียว ส่วนครั้งต่อไปให้ใช้เหล้าแทนน้ำส้มสายชู ใช้กินวันละ 2-3 ครั้ง จะช่วยขับน้ำคาวปลาให้ตกได้ แต่ถ้าน้ำคาวปลาไม่ตกในสตรีคลอดบุตร จะทำให้มีอาการหน้ามืด จุกแน่นในท้องในอก รู้สึกอึดอัด กัดกรามแน่น ใจคอหงุดหงิด หนาวสั่น หูดับ เป็นลมหลับไป หากแก้ไม่ทันอาจเสียชีวิตได้ สำหรับผงถ่านนั้นได้จากการนำพริกขี้หนูแห้ง 1 กำมือ ใส่ลงในกระทะตั้งไฟจนควันขึ้น จุดไม้ขีดแหย่ลงไป แล้วพริกขี้หนูจะติดไฟ ทิ้งไว้สักพักพริกขี้หนูจะไหม้ดำเป็นถ่านหมด แล้วจึงตักออกมาจากกระทะใส่จาน หากะลาหรือถ้วยมาครอบพริกเผาเอาไว้จนไฟดับหมด เสร็จแล้วให้นำมาบดให้ละเอียด ก็จะได้ผงถ่านพริกขี้หนูตามต้องการ (ห้ามกินยานี้ก่อนการคลอดบุตร เพราะทำให้คลอดลูกไม่ออก และอาจทำให้ถึงตายได้)
- ใบมีสรรพคุณช่วยแก้อาการคัน
- ช่วยป้องกันการเป็นผื่นแดงเนื่องจากแพ้อากาศเย็น
- ใช้รักษาแผลสดและแผลเปื่อย ด้วยการใช้ใบพริกขี้หนู นำมาตำพอกรักษาแผลสดและแผลเปื่อย แต่อย่าใช้ปิดแผลมากจนเกินไป เพราะทำให้ร้อน
- ผลมีสรรพคุณช่วยรักษาโรคหิด กลากเกลื้อน
- พริกขี้หนูมีสารต้านแบคทีเรียและอนุมูลอิสระ
- หากมดคันไฟกัด ให้ใช้ใบหรือดอกพริกขี้หนู นำมาถูบริเวณที่ถูกกัด
- ใช้เป็นยาแก้พิษตะขาบและแมงป่องกัด ด้วยการใช้ผลพริกขี้หนูแห้ง นำมาตำให้เป็นผงละลายกับน้ำมะนาว ใช้ทาบริเวณที่กัด อาการเจ็บปวดจะหายไป
- ใช้รักษาอาการบวม ฟกช้ำดำเขียว ปวดตามข้อ เคล็ดขัดยอก ช่วยทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ด้วยการใช้พริกขี้หนูแก่สีแดงตากแห้ง แล้วนำมาบดให้เป็นผงละเอียด เทลงในวาสลินที่เคี่ยวจนเหนียว กวนให้เข้ากัน แล้วนำไปเคี่ยวอีกจนได้กลิ่นพริก ใช้เป็นยาทาถูเพื่อรักษาอาการเคล็ด ฟกช้ำดำเขียว และอาการปวดตามข้อ โดยให้ทาบริเวณที่เป็นวันละ 1-2 ครั้ง ส่วนการนำมาใช้เป็นยาแก้บวมอีกวิธี จากข้อมูลระบุให้ใช้ใบพริกขี้หนูนำมาบดผสมกับน้ำมะนาว ใช้เป็นยาพอกบริเวณที่มีอาการบวม
- ใช้รักษาอาการปวดตามเอวและน่อง ด้วยการใช้ผงพริกขี้หนูและวาสลิน หรือผงพริก วาสลิน และแป้งหมี่ เติมเหล้าเหลืองพอประมาณ แล้วคนให้เข้ากันจนเป็นครีม ก่อนนำมาใช้ให้ทาลงบนกระดาษแก้วปิดบริเวณที่ปวด แล้วใช้ปลาสเตอร์ปิดโดยรอบ หลังจากนั้นจะมีอาการทำให้เหงื่อออก ทำให้การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วขึ้น และจะรู้สึกหายปวด เนื่องจากบริเวณที่พอกยาจะมีความรู้สึกร้อน การไหลเวียนของโลหิตเพิ่มขึ้น
- ใช้แก้อาการปวดเมื่อยตามตัว ขับลมชื้นตามร่างกาย ด้วยนำผลพริกขี้หนูแห้งมาแช่ในแอลกอฮอล์ 90% ในปริมาณ 1,000 ซีซี นาน 2 สัปดาห์ แล้วใช้สำลีชุบน้ำยาทาบริเวณที่เป็น
- ใช้เป็นยาช่วยลดอาการปวดบวมอันเนื่องจากลมชื้นหรือจากความเย็นจัด ด้วยการใช้ผงพริกขี้หนูแห้งนำมาทำเป็นขี้ผึ้งหรือสารละลายแอลกอฮอล์ แล้วนำมาใช้ทาบริเวณที่มีอาการปวด
- ผลมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคเกาต์ ใช้ภายนอกเป็นยาทาถูนวดเพื่อช่วยลดอาการไขข้ออักเสบ ลดอาการปวดบวม
- ส่วนต้นหรือรากพริกขี้หนูมีสรรพคุณเป็นยาแก้เส้นเอ็นพิการ แก้ปวดเมื่อยตามตัว แก้ปวดบวม
- สารสกัดจากพริกใช้เป็นยาทาถูนวดรักษาอาการตะคริวได้ เพราะพริกจะช่วยทำให้บริเวณผิวที่ทามีเลือดมาเลี้ยงมากขึ้น และกระตุ้นทำให้บริเวณที่ทารู้สึกร้อน
- ใช้แก้เท้าแตก ด้วยการใช้พริกขี้หนูทั้งต้นและปูนขาว อย่างละพอสมควร เอาไปต้ม แล้วเอาน้ำที่ได้มาแช่เท้าที่แตก ถ้าไม่หายก็ให้เอาต้นสลัดไดและรากหนอนตายหยากใส่ลงไปด้วย
- แก้ปลาดุกยัก ด้วยการใช้พริกขี้หนูสด ขยี้ตรงที่ปลาดุกแทงจะหายปวด เมื่อขยี้แล้วจะรู้สึกเย็น ไม่บวมและไม่ฟกช้ำด้วย
- ช่วยกระตุ้นให้ผมงอก
| | | วิธีใช้โดยทั่วไป | ใช้ส่วนผลมารับประทาน
| แหล่งข้อมูลอ้างอิง |
- หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “พริกขี้หนู”. หน้า 113-114.
- หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “พริกขี้หนู Cayenne Pepper”. หน้า 72.
- หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “พริกขี้หนู”. หน้า 535-538.
- หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “พริก”. หน้า 368.
- ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร. “พริกขี้หนู”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : ftp://smc.ssk.ac.th/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [26 ส.ค. 2014].
- สารศิลปยาไทย ฉบับที่ ๑๘, สมาคมผู้ประกอบโรคศิลปแผนไทย (เชียงใหม่). “พริกขี้หนู”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.oocities.org/thaimedicinecm/. [26 ส.ค. 2014].
- ไทยเกษตรศาสตร์. “พริกขี้หนู สรรพคุณทางยา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaikasetsart.com. [26 ส.ค. 2014].
- รายการสาระความรู้ทางการเกษตร ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่. “ไผ่และพริก”. บทความวิทยุรายการสาระความรู้ทางการเกษตร ประจำวันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม 2546. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : natres.psu.ac.th. [26 ส.ค. 2014].
- หนังสือพิมพ์มติชนบทเทคโนโลยีชาวบ้าน ฉบับที่ 452, วันที่ 01 เมษายน พ.ศ. 2552. “เจาะตลาด”. (ประสิทธิ์ศิลป์ ชัยยะวัฒนะโยธิน).
- มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 305 คอลัมน์ : เรื่องเด่นจากปก. (ดร.พัชราณี ภวัตกุล). “พริกขี้หนู กับปัจจัยเสี่ยง ของโรคหัวใจและหลอดเลือด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th. [26 ส.ค. 2014].
- หนังสืออาหารจากสมุนไพร อร่อย สุขภาพดี. (จำลองลักษณ์ หุ้นชิ้น, จิรนาฏ วีรชัยพิเชษฐ์กุล, รุ่งทิพย์ พรหมทรัพย์, อภิสิทธิ์ ประสงค์สุข). “พริกขี้หนู”.
|
|