|
ชื่อสามัญภาษาไทย | มะเดื่อปล้อง |
ชื่อที่เกี่ยวข้อง | เดื่อสาย |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Ficus hispida L.f. |
ชื่อพ้อง | Ficus oppositifolia Roxb. |
ชื่อวงศ์ | Moraceae |
ชื่อท้องถิ่น | เดื่อป่อง (นครราชสีมา กรุงเทพมหานคร), เดื่อปล้อง (นครศรีธรรมราช สระบุรี ภาคเหนือ), เดื่อสาย (เชียงใหม่), ตะเออน่า เอาแหน่ (แม่ฮ่องสอน), มะเดื่อปล้อง (ภาคกลาง) |
มะเดื่อปล้อง เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ สูงได้ถึง 12 เมตร ไม่ผลัดใบ หรือกึ่งผลัดใบ ลำต้นตั้งตรงเปลือกหนา เปลือกต้นสีเทาปนดำ ต้นและกิ่งมีลักษณะเป็นข้อปล้องชัดเจน คล้ายรอยขวั้นเป็นข้อๆ ตลอดถึงกิ่งกิ่งอ่อนกลวง ทุกส่วนมีน้ำยางสีขาวขุ่น ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก รูปไข่แกมขอบขนานหรือรูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ กว้าง 5 - 13 ซม. ยาว 11 - 28 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบมีซี่หยักละเอียดโดยเฉพาะครึ่งปลายบน เนื้อใบคล้ากระดาษ ผิวใบด้านบนมีขนสากปกคลุม ผิวใบด้านล่างมีขนนุ่ม ใบแก่มีขนหยาบๆและบนเส้นใบด้านล่าง เส้นใบข้างโค้ง 5 - 9 คู่ เส้นใบที่ฐานยาว 1/5 ของใบ ก้านใบยาว 1.5 - 4 ซม. มีต่อมเป็นปม มีหูใบยาว 1 - 2.5 ซม.หลุดร่วงง่าย กิ่งก้านอ้วนสั้น ลำต้นอ่อนกลวง ดอก ออกเป็นช่อแบบชนิดช่อมะเดื่อ (syconium) ตามกิ่งและลำต้น อาจพบออกตามโคนต้น หรือตามกิ่งที่ห้อยลงไม่มีใบ กิ่งใหญ่ๆอาจยาวได้ถึง 1.5 เมตร บางครั้งเลื้อยไปตามพื้นดิน หรือพบบ้างที่เกิดตามง่ามใบ ดอกย่อยมีขนาดเล็กอัดกันแน่น เจริญอยู่บนฐานของดอกที่ห่อหุ้มไว้มีลักษณะคล้ายผล ภายในกลวง ที่ปลายมีช่องเปิดที่มีใบประดับปิดอยู่ และมีก้านช่อดอกยาว ดอกอ่อนสีเขียว ดอกแก่สีเหลือง ที่โคนมีใบประดับ 3 ใบ ยาว 1 - 1.5 มิลลิเมตร รูปสามเหลี่ยม ภายในมีดอก 3 ประเภทคือ ดอกเพศผู้ ดอกเพศเมีย และดอกปุ่มหูด ดอกเพศผู้มี 1 - 2 แถว กลีบรวมจักเป็น 3-4 พู ปลายมีขน เกสรเพศผู้มี 1 อัน ดอกปุ่มหูดไม่มีก้าน กลีบรวมปกคลุมรังไข่ ดอกเพศเมียมีหรือไม่มีก้าน กลีบรวมเชื่อมติดกันคล้ายปลอกหรือท่อสั้นๆ ผล ชนิดผลแบบมะเดื่อ กลมแป้น รูปลูกข่าง ติดเป็นกลุ่มแน่น 10-15 ผล ผลอ่อนสีเขียว แบบมะเดื่อ เมื่อแก่สีเหลือง ผลมีขนาด 2.5-4 ซม. รูปลูกข่าง แคบที่ฐาน ยอดผลแบนหรือบุ๋ม มีเส้นสัน 7-9 เส้น แผ่รอบๆจากยอด มีขนอ่อนนุ่ม และเกล็ดปกคลุมห่างๆ ก้านผลยาว 0.6-2.5 ซม. มีกาบรูปสามเหลี่ยม 3 กาบ เป็นช่อยาวตามแนวของกิ่ง ห้อยลงจากลำต้นและกิ่งใหญ่ๆ พบตามป่าดิบแล้ง ป่าโปร่ง ป่าละเมาะ ริมลำธาร ออกดอกราวเดือนมกราคมถึงมีนาคม ติดผลเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม | |
| |
1.ผลใช้รับประทานได้ แต่ไม่เป็นที่นิยมนัก เนื่องจากมักมีแมลงมาอาศัยอยู่ข้างในผล และมีบ้างที่ใช้ผลสุกนำมาทำแยม 2.ใบอ่อนใช้รับประทานร่วมกับน้ำพริก ลาบ ส่วนช่อดอกและผลอ่อนใช้รับประทานเป็นผักสดหรือต้มจิ้มกับน้ำพริก นำมาปรุงอาหารจำพวกแกงส้ม 3.ผลดิบใช้รับประทานกับแกงบอนหรือหลามบอน หรือนำไปประกอบอาหารโดยการหลามกับกระดูกหมู ชาวลั้วะจะใช้ยอดอ่อนนำมาต้มเป็นอาหารสำหรับเลี้ยงหมู 4.เปลือกต้นใช้ทำเชือกหยาบ ๆ 5.เนื้อไม้ใช้สำหรับทำฟืน (ลั้วะ) | |
|