เถาวัลย์เปรียง
  ชื่อสามัญภาษาไทยเถาวัลย์เปรียง
  ชื่อสามัญภาษาอังกฤษJewel Vine
  ชื่อวิทยาศาสตร์Derris scandens (Roxb.) Benth
  ชื่อพ้องBrachypterum scandens (Roxb.)
  ชื่อวงศ์Fabaceae
  ชื่อท้องถิ่นเครือตาปลา เครือไหล (เชียงใหม่), เครือตับปลา (เลย), เถาตาปลา เครือเขาหนัง ย่านเหมาะ (นครราชสีมา), พานไสน (ชุมพร), เครือตาป่า เครือตับปลา เครือเขาหนัง เครือตาปลาโคก (หากเกิดบนบก) เครือตาปลาน้ำ (หากเกิดในที่ลุ่ม) (ภาคอีสาน), เถาวัลย์เปรียงขาว เถาวัลย์เปรียงแดง (ภาคกลาง), ย่านเหมาะ ย่านเมราะ (ภาคใต้)
 
 
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ต้นเถาวัลย์เปรียง จัดเป็นไม้เถาเลื้อยขนาดใหญ่ สามารถเลื้อยไปได้ไกลถึง 20 เมตร มีกิ่งเหนียวและทนทาน กิ่งแตกเถายืดยาวอย่างรวดเร็ว เถามักเลื้อยพาดพันตามต้นไม้ใหญ่ เถาแก่มีเนื้อไม้แข็ง เปลือกเถาเรียบและเหนียว เป็นสีน้ำตาลเข้มอมสีดำหรือแดง เถาใหญ่มักจะบิด เนื้อไม้เป็นสีออกน้ำตาลอ่อน ๆ มีวงเป็นสีน้ำตาลไหม้คล้ายกับเถาต้นแดง (เนื้อไม้มีรสเฝื่อนและเอียน) ตามกิ่งอ่อนและยอดอ่อนมีขนสีน้ำตาลปกคลุม ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดหรือวิธีการแยกไหลใต้ดิน ชอบอากาศเย็นแต่แสงแดดจัด ทนความแห้งแล้งได้ดี หากปลูกในที่แล้งจะออกดอกดก แต่จะมีขนาดเล็กกว่าปลูกในที่ชุ่มชื้น พรรณไม้ชนิดนี้มักขึ้นเองตามชายป่าและที่โล่งทั่วไป เป็นพรรณไม้ที่มีมากที่สุดในประเทศไทยและใช้กันทุกจังหวัด 

ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกออกเรียงสลับกัน มีใบย่อย 4-8 ใบ ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปรี ปลายใบเป็นรูปหอก โคนใบมน ขอบใบเรียบ ใบย่อยมีขนาดกว้างประมาณ 1-1.25 เซนติเมตรและยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร หลังใบเรียบเป็นมันสีเขียวเข้ม ท้องใบเรียบ 

ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบและปลายยอด ช่อดอกเป็นสีขาวห้อยลง ดอกเป็นสีขาวอมสีม่วงอ่อนคล้ายกับดอกถั่ว กลีบดอกมี 4 กลีบและมีขนาดไม่เท่ากัน ส่วนกลีบเลี้ยงดอกมีลักษณะเป็นรูปถ้วย สีม่วงแดง 

ออกผลเป็นฝักแบน โคนฝักและปลายฝักมน ฝักเมื่อแก่เป็นสีน้ำตาลอ่อน ภายในฝักมีเมล็ดประมาณ 1-4 เมล็ด


สรรพคุณทั่วไป

  • เถาใช้ต้มรับประทานเป็นยาถ่ายกระษัย แก้กระษัย 
  • รากมีรสเฝื่อนเมา ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ใช้เป็นส่วนประกอบของยาอายุวัฒนะ เพื่อช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง 
  • ตำรับยาไทยใช้รากเป็นยารักษาอาการไข้ ช่วยแก้หวัด แก้ไอ 
  • เถาใช้ต้มรับประทานเป็นยาถ่ายเสมหะลงสู่ทวารหนัก แก้เสมหะพิการโดยไม่ทำให้ถ่ายอุจจาระ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคบิด โรคหวัด โรคไอ และใช้ได้ดีในเด็ก ช่วยแก้บิด 
  • เถามีรสเฝื่อนเอียน ใช้ต้มรับประทานเป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะผิดปกติ แก้ปัสสาวะกะปริดกะปรอย 
  • ส่วนรากมีรสเฝื่อนเอียนมีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะเช่นกัน และยังมีข้อมูลระบุว่าการใช้สมุนไพรชนิดนี้จะทำให้ปัสสาวะได้บ่อยกว่าปกติ จึงอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคต่อมลูกหมากโตด้วย 
  • เถาใช้ดองกับเหล้าเป็นยาขับระดูของสตรี คนโบราณจะนิยมใช้เถาของเถาวัลย์เปรียงเพื่อเป็นยารักษาอาการตกขาวของสตรี (อาการตกขาวชนิดที่ไม่มีกลิ่น ไม่มีอาการคัน ไม่เปลี่ยนเป็นสีเขียว) 
  • เถามีสรรพคุณในการบีบมดลูก

 
สรรพคุณเฉพาะส่วนของสมุนไพร
 
  เถาต้มกิน แก้กระหาย
 
วิธีใช้โดยทั่วไป

  • ขับโลหิตเสียของสตรี ด้วยการใช้เถาวัลย์เปรียงทั้งห้าแบบสด ๆ นำมาต้มกับน้ำ แล้วนำน้ำที่ได้มาใช้ดื่มต่างน้ำ (ทั้งห้า)
  • ทำให้มดลูกเข้าอู่ ด้วยการใช้เถาสดนำมาทุบให้ยุ่ย แล้ววางทาบลงบนหน้าท้อง แล้วนำหม้อเกลือที่ร้อนมานาบลงไปบนเถาวัลย์เปรียง จะช่วยทำให้มดลูกเข้าอู่ได้เร็วขึ้น 
  • ใช้เถานำมาหั่นตากแห้งคั่วชงน้ำกินต่างน้ำชาเป็นยาทำให้เส้นหย่อน แก้อาการเมื่อยขบตามร่างกาย แก้อาการปวดเมื่อย แก้เหน็บชา 
  • ใช้เถาเพื่อรักษาโรคอัมพฤกษ์และกระดูกหัก โดยการนำเถามาตำให้เป็นผงผสมกับน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันหัวครำ แล้วใช้เป็นยาทานวดบริเวณที่เป็นทุกวันจนหาย 

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

  1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1.  “เถาวัลย์เปรียง (Thao Wan Priang)”.  (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์).  หน้า 139.
  2. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ.  “เถาวัลย์เปรียง”.  (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ).  หน้า 119.
  3. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ.  (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล).  “เถาวัลย์เปรียง”.  หน้า 101.
  4. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5.  “เถาวัลย์เปรียง”.  (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).  หน้า 349-350.
  5. ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.  “เถาวัลย์เปรียง”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com. [17 มี.ค. 2014].
  6. บทความวิทยุรายการสาระความรู้ทางการเกษตร, งานศูนย์บริการวิชาการและฝึกอบรม ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ, คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่.  “เถาวัลย์เปรียง”.  (ดวงจันทร์ เกรียงสุวรรณ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: natres.psu.ac.th.  [17 มี.ค. 2014].
  7. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 370 คอลัมน์: เก็บข่าวมาฝาก.  “เถาวัลย์เปรียง รักษาอาการปวด”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th.  [18 มี.ค. 2014].
  8. ฐานข้อมูลทางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม, ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช.  “เถาวัลย์เปรียง”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.culture.nstru.ac.th/~culturedb/.  [18 มี.ค. 2014].
  9. หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.  “เถาวัลย์เปรียง”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.medplant.mahidol.ac.th.  [15 มี.ค. 2014].
  10. ผู้จัดการออนไลน์.  “สมุนไพรไม้เป็นยา : เถาวัลย์เปรียง สมุนไพรแก้ปวดข้อ”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.manager.co.th.  [18 มี.ค. 2014].
  11. นิตยสารมติชนเทคโนโลยีชาวบ้าน ฉบับที่ 534 เดือนกันยายน 2555 หน้าที่ 66.  “เถาวัลย์เปรียง…สมุนไพรแก้เส้นเอ็นขอด”.  อ้างอิงใน: หนังสือเภสัชเวทกับตำรายาแผนโบราณ (จินดาพร ภูริพัฒนาวงษ์).
  12. วารสารเพื่อการวิจัยและพัฒนา องค์การเภสัชกรรม ฉบับที่ 4 ประจำเดือนตุลาคม-ธันวาคม พ.ศ.2544.  “เถาวัลย์เปรียง สมุนไพรทางเลือกสำหรับบรรเทาอาการปวดเมื่อย การอักเสบของกล้ามเนื้อและข้อเข่าเสื่อม”.  (ภก.ดร.สัญญา หกพุดซา).
  13. NLEM บัญชียาหลักแห่งชาติ, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข.  “ยาเถาวัลย์เปรียง”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: drug.fda.moph.go.th:81/nlem.in.th/.  [18 มี.ค. 2014].