การบูร
  ชื่อสามัญภาษาไทยการบูร
  ชื่อสามัญภาษาอังกฤษCamphor, Gum camphor, Formosan camphor, Laurel camphor
  ชื่อที่เกี่ยวข้องอบเชยญวน พรมเส็ง
  ชื่อวิทยาศาสตร์Cinnamomum camphora (L.) J. Presl.
  ชื่อพ้องCamphora camphora (L.) H.Karst., Camphora hahnemannii Lukman., Camphora hippocratei Lukman., Camphora officinarum Nees, Camphora vera Raf., Camphorina camphora (L.) Farw., Cinnamomum camphoriferum St.-Lag., Cinnamomum camphoroides Hayata, Cinnamomum nominale (Hats. & Hayata) Hayata, Cinnamomum officinarum Nees ex Steud., Laurus camphora L., Persea camphora
  ชื่อวงศ์Lauraceae
  ชื่อท้องถิ่นการะบูน การบูร (ภาคกลาง), อบเชยญวน (ไทย), พรมเส็ง (เงี้ยว), เจียโล่ (จีนแต้จิ๋ว), จางมู่ จางหน่าว (จีนกลาง)
 
 
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ต้นการบูร เป็นพรรณไม้พื้นเมืองของประเทศจีน ญี่ปุ่น และไต้หวัน มีเขตการกระจายพันธุ์ในแถบเมดิเตอร์เรเนียน อินโดนีเซีย อินเดีย อียิปต์ แอฟริกาใต้ จาไมกา บราซิล สหรัฐอเมริกา และประเทศไทย โดยจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นทรงพุ่มกว้างและทึบ มีความสูงของต้นได้ถึง 30 เมตร ลำต้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 1.5 เมตร เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาล ผิวหยาบ ส่วนเปลือกกิ่งเป็นสีเขียวหรือเป็นสีน้ำตาลอ่อน ลำต้นและกิ่งเรียบไม่มีขน ส่วนเนื้อไม้เป็นสีน้ำตาลปนแดง เมื่อนำมากลั่นแล้วจะได้ “การบูร” ทุกส่วนมีกลิ่นหอม โดยเฉพาะที่ส่วนที่ของรากและโคนต้น ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด และวิธีการปักชำ

ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ ลักษณะเป็นรูปรีหรือรูปรีแกมรูปไข่ ปลายใบเรียวแหลม โคนใบป้านหรือกลม ส่วนขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2.5-5.5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 5.5-15 เซนติเมตร แผ่นใบค่อนข้างเหนียว หลังใบเป็นสีเขียวเข้มและเป็นมัน ส่วนท้องใบเป็นสีเขียวอมเทาหรือนวล ไม่มีขน เส้นใบขึ้นตรงมาจากโคนใบประมาณ 3-8 มิลลิเมตร แล้วแยกออกเป็นเส้น 3 เส้น ตรงมุมที่มีเส้นใบแยกออกนั้นมีต่อม 2 ต่อม และตามเส้นกลางใบอาจมีต่อมเกิดขึ้นตรงมุมที่มีเส้นใบแยกออกไป ส่วนก้านใบมีความยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร ไม่มีขน ที่ตาใบมีเกล็ดซ้อนเหลื่อมกันอยู่ โดยเกล็ดชั้นนอกจะเล็กกว่าเกล็ดชั้นในตามลำดับ และเมื่อนำใบมาขยี้จะมีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นการบูร

ออกดอกเป็นช่อแบบแยกแขนง โดยจะออกเป็นกระจุกตามง่ามใบ ดอกมีขนาดเล็กเป็นสีขาวอมสีเหลืองหรืออมสีเขียว ก้านดอกย่อยมีขนาดสั้นมาก ดอกรวมมีกลีบ 6 กลีบ เรียงเป็นวง 2 วง วงละ 3 กลีบ ลักษณะเป็นรูปรี ปลายมน ด้านนอกเกลี้ยง ส่วนด้านในมีขนละเอียด ดอกมีเกสรเพศผู้ 9 ก้าน เรียงเป็นวง 3 วง วงละ 3 ก้าน ส่วนอับเรณูของวงที่1 และ 2 หันหน้าเข้าด้านใน ที่ก้านเกสรมีขน ส่วนวงที่ 3 จะหันหน้าออกทางด้านนอก ที่ก้านเกสรค่อนข้างใหญ่ มีต่อม 2 ต่อม อยู่ใกล้กับก้าน ลักษณะของต่อมเป็นรูปไข่กว้างและมีก้าน อับเรณูจะมีช่องเปิด 4 ช่อง เรียงกันเป็นแถว 2 แถว แถวละ 2 ช่อง มีลิ้นเปิดทั้ง 4 ช่อง ส่วนเกสรเพศผู้เป็นหมันมี 3 ก้าน อยู่ด้านในสุด ลักษณะเป็นรูปร่างคล้ายหัวลูกศร มีแต่ขนและไม่มีต่อม ส่วนรังไข่เป็นรูปไข่ ไม่มีขน ก้านเกสรเพศเมียยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร ไม่มีขน ปลายเกสรเพศเมียมีลักษณะกลม ส่วนใบประดับมีลักษณะเรียวยาว ร่วงได้ง่าย และมีขนอ่อนนุ่ม โดยจะออกดอกในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม

ผลมีลักษณะเป็นรูปไข่หรือกลม และเป็นผลแบบมีเนื้อ ผลเป็นสีเขียวเข้มมีขนาดยาวประมาณ 6-10 มิลลิเมตร เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ผลมีฐานดอกซึ่งเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นแป้นรองรับผล ภายในผลมีเมล็ด 1 เมล็ด

สรรพคุณทั่วไป

  • การบูรและเนื้อไม้ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย การบูรช่วยแก้ธาตุพิการ เมล็ดในและเปลือกต้นไม้ช่วยคุมธาตุ 
  • การบูรมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงหัวใจและเป็นยากระตุ้นหัวใจ 
  • การบูรใช้เป็นยาระงับประสาท 
  • การบูรช่วยแก้เลือดลม รากและกิ่งเป็นยาช่วยทำให้เลือดลมไหลเวียนดี 
  • การบูรช่วยแก้โรคตา 
  • การบูรช่วยแก้อาการปวดฟัน 
  • การบูรและเนื้อไม้ช่วยในการขับเหงื่อ 
  • การบูรช่วยแก้ไข้หวัด 
  • การบูรช่วยแก้อาการไอ 
  • การบูรและเนื้อไม้ช่วยขับเสมหะ ทำลายเสมหะ 
  • การบูรช่วยขับความชื้นในร่างกาย รากและกิ่งช่วยขับลมชื้น 
  • ช่วยขับผายลม แก้อาการจุกแน่นเฟ้อ เมื่อนำเกล็ดการบูรมารับประทานเพียงเล็กน้อย จะช่วยขับลมได้ แต่หากใช้ในปริมาณมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน เมล็ดมีสรรพคุณแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ส่วนรากและกิ่งมีสรรพคุณแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ลมขึ้น จุกเสียดแน่นหน้าอก 
  • เมล็ดช่วยแก้กระเพาะหรือลำไส้อักเสบ 
  • การบูรและเนื้อไม้ช่วยแก้อาการปวดท้อง ท้องร่วง การบูรแก้ปวดท้อง ปวดกระเพาะ รากและกิ่งแก้อาการปวดท้อง ส่วนเมล็ดในมีรสฝาด เป็นยาแก้บิด ปวดเบ่ง ท้องร่วง 
  • เมล็ดใช้เป็นยาแก้อาการปวดท้องน้อย 
  • การบูรช่วยแก้อาการท้องเสีย อันเนื่องมาจากกระเพาะหรือลำไส้เย็นชื้น 
  • การบูรช่วยฆ่าพยาธิในท้อง ใช้ทะลวงทวารบริเวณใบหน้า 
  • การบูรช่วยบำรุงกำหนัด 
  • การบูรช่วยขับน้ำเหลือง 
  • เปลือกต้นมีรสฝาด เป็นยาสมานแผล 
  • การบูรช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย 
  • เปลือกต้นและใบใช้เป็นยารักษาแผลเรื้อรังเน่าเปื่อยบริเวณผิวหนัง 
  • ช่วยรักษาโรคผิวหนังเรื้อรัง โดยเกล็ดการบูรสามารถใช้เป็นยารักษาโรคผิวหนัง หรือใช้แก้อาการคันตามผิวหนังได้ การบูรรักษากลากเกลื้อน เปลือกต้นและใบแก้ผดผื่นคัน 
  • การบูรเป็นยาช่วยระงับเชื้ออย่างอ่อน 
  • การบูรมีรสเผ็ดร้อนเป็นยาแก้ปวด 
  • การบูรใช้เป็นทาถูนวดแก้อาการปวด แก้เคล็ดขัดยอก เคล็ดบวม ข้อเท้าแพลง ข้อบวมเป็นพิษ แก้อาการปวดตามข้อ แก้ปวดเส้นประสาท ปวดขัดตามเส้นประสาท รากและกิ่งช่วยแก้อาการปวดเมื่อตามร่างกาย ปวดเมื่อยตามข้อมือและเท้า แก้เคล็ดขัดยอก 
  • การบูรช่วยแก้อาการชักบางประเภท แก้กระตุก เส้นสะดุ้ง 
  • การบูรเมื่อนำมาผสมเป็นขี้ผึ้งจะเป็นยาร้อน ใช้เป็นยาทาแก้เพื่อถอนพิษอักเสบเรื้อรัง ปวดยอกตามกล้ามเนื้อ สะบักจม ทรวงอก ปวดร้าวตามเส้นเอ็น และโรคปวดผิวหนัง

 
 
แหล่งข้อมูลอ้างอิง

  1. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.  “การบูร”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com.  [12 เม.ย. 2014].
  2. ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.  “การบูร”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com.  [12 เม.ย. 2014].
  3. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง.  “การบูร”.  (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ).  หน้า 73.
  4. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5.  “การะบูน , การบูร”.  (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).  หน้า 60-62.
  5. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ.  (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล).  “การบูร Camphor Tree”.  หน้า 82.
  6. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.  “การบูรต้น”.  (วิทยา บุญวรพัฒน์).  หน้า 72.
  7. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.  “เกล็ดการบูร (Camphor)”.  (วิทยา บุญวรพัฒน์).  หน้า 74.
  8. ไทยเกษตรศาสตร์.  “พันธุ์ไม้หอมที่มีสรรพคุณทางยาสมุนไพร”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.thaikasetsart.com.  [12 เม.ย. 2014].
  9. ตำราแพทย์แผนโบราณทั่วไป.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.kmitl.ac.th.  [12 เม.ย. 2014].