ประดู่ป่า
  ชื่อสามัญภาษาไทยประดู่ป่า
  ชื่อสามัญภาษาอังกฤษBurmese Padauk, Burmese ebony, Burma Padauk, Narva
  ชื่อวิทยาศาสตร์Pterocarpus macrocarpus Kurz
  ชื่อพ้องPterocarpus parvifolius Pierre
  ชื่อวงศ์Fabaceae
  ชื่อท้องถิ่นประดู่เสน (ราชบุรี, สระบุรี), ดู่ ดู่ป่า (ภาคเหนือ), ประดู่ ประดู่ป่า (ภาคกลาง), จิต๊อก (ฉาน-แม่ฮ่องสอน), ตะเลอ เตอะเลอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ฉะนอง (เขมร)
 
 
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ต้นประดู่ป่า จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ เรือนยอดเป็นพุ่มกลมหรือเป็นรูปร่ม ไม่แผ่กว้าง ลำต้นตั้งตรงมีความสูงได้ประมาณ 15-30 เมตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.3-2.1 เมตร ไม่ค่อยแตกกิ่งก้านสาขา เปลือกลำต้นหนาเป็นสีน้ำตาลดำแตกเป็นระแหงทั่วไป ส่วนเปลือกในชั้นในมีน้ำเลี้ยงสีแดงดูแตกเป็นช่องไม่เหมือนกับต้นประดู่บ้าน กิ่งและก้านอ่อนมีขนนุ่มขึ้นทั่วไป ส่วนกิ่งแก่ผิวจะเกลี้ยง มีรากตอนโคนต้นเป็นสันนูนขึ้นมาเหนือพื้นดิน เข้าใจว่ามีถิ่นกำเนิดในประเทศมาเลเซีย แต่ได้นำเข้ามาปลูกในประเทศแถบทะเลอันดามัน เบงกอลตะวันตก เพื่อประโยชน์ในการเป็นไม้ร่มตามข้างถนนและในสวน ประดู่ชนิดนี้ยังจัดเป็นไม้พื้นบ้านดั้งเดิมของไทยอีกด้วย คนไทยจะรู้จักกันดีมาแต่โบราณ โดยมักจะขึ้นอยู่ในป่าเขตเบญจพรรณและป่าเต็งรังทั่วไปทางภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคตะวันตกของประเทศไทย (ยกเว้นภาคใต้) และยังพบได้ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ลาว พม่า กัมพูชา ฯลฯ ส่วนใหญ่จะขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด เจริญเติบโตได้ดีในถิ่นกำเนิดตามธรรมชาติเขตร้อน สามารถขึ้นได้ตามไหล่เขา ที่ราบ ยอดเขาเตี้ย ๆ ใกล้บริเวณแหล่งน้ำที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 300-600 เมตร ชอบดินร่วนปนทราย ดินตะกอน หรือดินที่เกิดจากภูเขาไฟ มีความลึก และระบายน้ำได้ดี 

ใบมีขนาดใหญ่กว่าใบประดู่บ้านเล็กน้อย ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ แต่ละช่อใบจะมีใบย่อยประมาณ 5-11 ใบย่อย ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปค่อนข้างมน หรือรูปไข่ถึงรูปขอบขนาน ปลายใบแหลมเป็นติ่ง โคนใบมนหรือค่อนข้างแหลม ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 5-15 เซนติเมตร แผ่นใบเหนียวคล้ายหนัง ใบอ่อนมีขนเล็กน้อย ส่วนใบแก่จะเกลี้ยง ผิวใบจะมีขนสั้น ๆ ปกคลุมท้องใบมากกว่าหลังใบ ก้านใบอ่อนมีขนอ่อนปกคลุมเล็กน้อย ใบจะร่วงในช่วงฤดูร้อน และจะเริ่มผลิใบใหม่ในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม 

ออกดอกเป็นช่อสีเหลืองตามซอกใบและที่ปลายกิ่ง ช่อดอกมีลักษณะห้อยลง ยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร และมีขนาดใหญ่กว่าประดู่บ้าน แต่จะไม่มีค่อยมีดอก ออกดอกไม่ดก หรือออกประปราย ดอกเป็นสีเหลือง รูปร่างของดอกเป็นรูปดอกถั่ว กลีบเลี้ยงดอกเป็นสีน้ำตาลอมเขียวหรือเป็นสีเขียว มี 5 กลีบ ติดกันเป็นถ้วย ปลายแยกเป็น 2 แฉก แบ่งเป็นอันบน 2 กลีบติดกัน และอันล่าง 3 กลีบติดกัน กลีบยาวประมาณ 6-8 มิลลิเมตร ส่วนกลีบดอกมี 5 กลีบ เป็นสีเหลืองแกมแสด ขนาดเล็ก ลักษณะของกลีบเป็นรูปผีเสื้อ กลีบยาวประมาณ 8-15 เซนติเมตร มีเกสรเพศผู้ 10 อัน ก้านชูอับเรณูติดกัน เป็น 2-3 กลุ่ม ก้านยาวประมาณ 7-13 มิลลิเมตร ส่วนเกสรเพศเมียมี 1 อัน รังไข่ superior ovary สีเขียว มีขนเล็ก ๆ ขึ้นปกคลุม ก้านเกสรเพศเมียมีลักษณะโค้งเล็กน้อย ยอดเกสรเป็นตุ่ม ดอกประดู่จะมีกลิ่นหอมแรง ส่งกลิ่นไปได้ไกล ดอกจะบานและร่วงพร้อมกันทั้งต้น และโดยปกติแล้วจะออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน 

ออกผลเป็นฝักกลมแบน ผลมีขนาดใหญ่กว่าผลประดู่บ้านและมีขนปกคลุมอยู่ ผลมีปีกคล้ายจานบิน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-7 เซนติเมตร ผลอ่อนเป็นสีเขียวอ่อน เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแกมเทา ตรงกลางมีเปลือกคลุม แข็งและหนา มีเมล็ดประมาณ 1-2 เมล็ด เมล็ดเป็นสีน้ำตาลแดง มีขนาดยาวประมาณ 0.4-0.5 นิ้ว ผลจะแก่ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน

สรรพคุณทั่วไป

  • เปลือกต้นนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงร่างกาย 
  • แก่นมีรสขมฝาดร้อน มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกำลัง 
  • แก่นมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงโลหิต ช่วยแก้โลหิตจาง
  • แก่นมีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ 
  • แก่นใช้เป็นยาแก้เสมหะ แก้โลหิตและกำเดา 
  • ผลมีรสฝาดสมาน มีสรรพคุณเป็นยาแก้อาเจียน 
  • ผลมีสรรพคุณเป็นยาแก้ท้องร่วง 
  • เปลือกต้นนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ท้องเสีย 
  • ช่วยขับปัสสาวะ 
  • เปลือกต้นมีรสฝาดจัด มีสรรพคุณเป็นยาสมานบาดแผล 
  • ใบใช้เป็นยาพอกฝีให้สุกเร็ว ใช้พอกบาดแผล 
  • ใบใช้เป็นยาพอกแก้ผดผื่นคันได้ ส่วนแก่นก็มีสรรพคุณช่วยแก้ผื่นคันได้เช่นกัน 
  • แก่นมีสรรพคุณเป็นยาแก้คุดทะราด
  • แก่นมีสรรพคุณเป็นยาแก้พิษเมาเบื่อ

 
 
วิธีใช้โดยทั่วไป

  • สารสกัดจากใบสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ตามตำรับยาระบุให้ใช้ใบประดู่ป่า 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ 3 แก้ว ใช้แบ่งดื่มก่อนอาหารเช้าและเย็น
  • ตำรายาไทยจะใช้แก่นเป็นยาแก้กษัย (อาการป่วยที่เกิดจากหลายสาเหตุ ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรมซูบผอม โลหิตจาง

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

  1. หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด.  (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก).  “ประดู่”.  หน้า 100-101.
  2. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 291 คอลัมน์ : ต้นไม้ใบหญ้า.  (เดชา ศิริภัทร).  “ประดู่ : ตำนานความหอมและบิดาแห่งราชนาวี”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th.  [05 ก.ย. 2014].
  3. ส่วนปลูกป่าภาคเอกชน สำนักส่งเสริมการปลูกป่า กรมป่าไม้.  (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก).  “ประดู่ป่า”.
  4. ข้อมูลพรรณไม้ในพระตำหนักเทา สำนักศิลปวัฒนธรรมและพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี.  “ประดู่ป่า”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.rbru.ac.th/db_arts/rbruflower/.  [04 ก.ย. 2014].
  5. พันธุ์ไม้ย้อมสีธรรมชาติ, กรมหม่อนไหม.  “ประดู่ป่า”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : qsds.go.th/webtreecolor/.  [04 ก.ย. 2014].