ขี้เหล็ก
  ชื่อสามัญภาษาไทยขี้เหล็ก
  ชื่อสามัญภาษาอังกฤษSiamese senna, Siamese cassia, Cassod tree, Thai copperpod
  ชื่อวิทยาศาสตร์Senna siamea (Lam.) H.S.Irwin & Barneby
  ชื่อพ้องCassia siamea Lam.
  ชื่อวงศ์Fabaceae
  ชื่อท้องถิ่นขี้เหล็กใหญ่ (ภาคกลาง) ขี้เหล็กแก่น (ราชบุรี) ขี้เหล็กหลวง (ภาคเหนือ) ขี้เหล็กบ้าน (ลำปาง, สุราษฎร์ธานี) ผักจี้ลี้ (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน) แมะขี้แหละพะโด (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ยะหา (มลายู-ปัตตานี)
 
 
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ต้นขี้เหล็ก เป็นไม้ยืนต้นสูงประมาณ 8-15 เมตร ลำต้นมักคดงอ เปลือกมีสีเทาถึงน้ำตาลดำแตกเป็นร่องตื้น ๆ ตามยาว แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มแคบ ส่วนลักษณะของผลขี้เหล็ก มีลักษณะเป็นฝักแบนกว้าง 1.4 เซนติเมตร ยาว 15-23 เซนติเมตร มีความหนา มีสีน้ำตาล มีเมล็ดหลายเมล็ด

ใบขี้เหล็ก เป็นใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับกัน ใบเป็นสีเขียวเข้ม มีใบย่อยรูปรี 5-12 คู่ กว้างประมาณ 1.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 4 เซนติเมตร ที่ปลายสุดเป็นใบเดี่ยว ปลายใบเว้าตื้น โคนใบมน ขอบและแผ่นใบเรียบ โดยใบขี้เหล็ก 100 กรัมจะมีเบต้าแคโรทีน 1.4 มิลลิกรัม, ธาตุแคลเซียม 156 มิลลิกรัม, ธาตุฟอสฟอรัส 190 มิลลิกรัม, ธาตุเหล็ก 5.8 มิลลิกรัม, เส้นใยอาหาร 5.6 กรัม, โปรตีน 7.7 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 10.9 กรัม, พลังงาน 87 กิโลแคลอรี

ดอกขี้เหล็ก จะออกดอกเป็นช่อแยกแขนงที่ปลายกิ่ง มีดอกสีเหลือง กลีบเลี้ยงกลมมี 3-4 กลีบ ปลายมน กลีบดอกมี 5 กลีบ ปลายมน โคนเรียว หลุดร่วงง่าย ก้านดอกจะยาว 1-1.5 เซนติเมตร และมีเกสรตัวผู้หลายเกสร และในบรรดาผักผลไม้ไทยทั้งหลาย ดอกขี้เหล็กก็จัดเป็นผักที่มีวิตามินซีสูงมากที่สุดเป็นอันดับ 1 โดยมีวิตามินซีมากถึง 484 มิลลิกรัมต่อดอกขี้เหล็ก 100 กรัม และยังมีเบต้าแคโรทีน 0.2 กรัม, ธาตุแคลเซียม 13 มิลลิกรัม, ธาตุฟอสฟอรัส 4 มิลลิกรัม, ธาตุเหล็ก 1.6 มิลลิกรัม, เส้นใยอาหาร 9.8 กรัม, โปรตีน 4.9 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 18.7 กรัม และให้พลังงาน 98 กิโลแคลอรี

สรรพคุณทั่วไป

  • ใบขี้เหล็กมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง 
  • ดอกขี้เหล็กมีวิตามินที่ช่วยบำรุงและรักษาสายตา 
  • ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค ป้องกันหวัด ช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้น 
  • รากช่วยบำรุงธาตุ 
  • แก่นแก้ธาตุพิการ แก้ไฟ ทำให้ตัวเย็น 
  • รากช่วยเจริญธาตุไฟ 
  • ราก ลำต้นและกิ่ง เปลือกต้น และทั้งต้นช่วยแก้โรคกระษัย 
  • ทั้งต้นช่วยรักษาอาการตัวเหลือง 
  • ใบและแก่นช่วยรักษาโรคเบาหวาน 
  • ใบช่วยลดความดันโลหิตสูง 
  • แก่นช่วยรักษาวัณโรค 
  • ดอกช่วยยับยั้งและชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง 
  • แก่นช่วยรักษามะเร็งปอด ปอดอักเสบ มะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะอาหาร 
  • รากช่วยแก้อาการชักในเด็ก 
  • แก้ไตพิการ 
  • แก่นช่วยแก้อาการแสบตา 
  • ใบขี้เหล็กมีสารที่ชื่อว่า “แอนไฮโดรบาราคอล” (Anhydrobarakol) ที่มีสรรพคุณช่วยในการคลายความเครียด บรรเทาอาการจิตฟุ้งซ่าน 
  • ดอกช่วยบำรุงสมอง บำรุงประสาท แก้โรคประสาท และช่วยสงบประสาท 
  • ฝักช่วยแก้ลมขึ้นเบื้องสูง เบื้องบน โลหิตขึ้นเบื้องบน ทำให้มีอาการระส่ำระสายในท้อง 
  • ดอกช่วยรักษาหืด 
  • ดอกช่วยรักษาโรคโลหิตพิการ ผายธาตุ 
  • ใบช่วยบำรุงโลหิต 
  • แก่นช่วยขับโลหิต 
  • ช่วยขับพิษโลหิต 
  • ต้นแก้เลือดกำเดาไหล 
  • รากช่วยถ่ายพิษไข้ แก้ไข้กลับซ้ำ แก้ไข้หนาว ไข้ผิดสำแดง 
  • เปลือกต้นและทั้งต้นช่วยดับพิษไข้ 
  • เปลือกต้นและฝักช่วยแก้พิษไข้เพื่อน้ำดี พิษไข้เพื่อเสมหะ 
  • ทั้งต้นช่วยแก้พิษเสมหะ 
  • ใบช่วยกำจัดเสมหะ 
  • เปลือกฝักช่วยขับมุตกิด กัดเถาดาน กัดเสมหะ และกัดเมือกในลำไส้ 
  • ใบขี้เหล็กมีสรรพคุณช่วยแก้ร้อนใน 
  • ดอกช่วยทำให้เจริญอาหาร 
  • ใบช่วยรักษาโรคบิด 
  • เปลือกต้นช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร 
  • ทั้งต้นช่วยบำรุงน้ำดี 
  • ใบ ลำต้น และกิ่งช่วยขับปัสสาวะ 
  • ใบ ลำต้น และกิ่งช่วยรักษานิ่วในไต 
  • แกงขี้เหล็กช่วยรักษาโรคหนองใน 
  • รากและแก่นรักษาแผลกามโรค 
  • แก่นช่วยแก้หนองใส 
  • ใบ ลำต้น และกิ่งช่วยขับระดูขาว 
  • ต้นช่วยฟอกโลหิตในสตรี 
  • ใบและดอกช่วยขับพยาธิ 
  • ใบและรากช่วยรักษาอาการเหน็บชา 
  • รากใช้ทาแก้อัมพฤกษ์ให้หย่อน 
  • ทั้งต้นช่วยทำให้เส้นเอ็นหย่อน 
  • เปลือกฝักแก้เส้นเอ็นพิการ 
  • ลำต้นและกิ่งช่วยรักษาโรคผิวหนัง 
  • เปลือกต้นช่วยรักษาโรคหิด 
  • ใบช่วยรักษาฝีมะม่วง 
  • ทางภาคใต้ใช้รากขี้เหล็กผสมกับสารส้ม นำมาทาแผลฝีหนอง 
  • ราก ลำต้น และกิ่งช่วยแก้อาการฟกช้ำ 
  • ประโยชน์ของขี้เหล็กช่วยแก้บวม 
  • ใบแก่ใช้ทำปุ๋ยหมัก 
  • ดอกและดอกอ่อนใช้รับประทานหรือทำเป็นแกงขี้เหล็กได้

 
 
วิธีใช้โดยทั่วไป

  • แก้อาการนอนไม่หลับ ผ่อนคลายความกังวล ด้วยการใช้ใบขี้เหล็กแห้ง 30 กรัม (หรือใบสด 50 กรัม) นำมาต้มกับน้ำไว้ดื่มก่อนนอน หรือจะใช้ใบอ่อนทำเป็นยาดองเหล้า โดยใส่เหล้าขาวพอท่วมยา แช่ทิ้งไว้ 7 วันและคนทุกวันให้น้ำยาสม่ำเสมอ เมื่อครบให้กรองเอากากยาออก จะได้น้ำยาดองเหล้าขี้เหล็ก แล้วนำมาดื่มครั้งละ 1-2 ช้อนชาก่อนเข้านอน 
  • แก้อาการเบื่ออาหาร ด้วยการใช้ใบขี้เหล็กแห้ง 30 กรัม (หรือใบสด 50 กรัม) นำมาต้มกับน้ำไว้ดื่มก่อนนอน หรือจะใช้ใบอ่อนทำเป็นยาดองเหล้า โดยใส่เหล้าขาวพอท่วมยา แช่ทิ้งไว้ 7 วันและคนทุกวันให้น้ำยาสม่ำเสมอ เมื่อครบให้กรองเอากากยาออก จะได้น้ำยาดองเหล้าขี้เหล็ก แล้วนำมาดื่มครั้งละ 1-2 ช้อนชาก่อนเข้านอน 
  • ช่วยแก้อาการท้องผูก ด้วยการใช้ใบอ่อน 2-3 กำมือ หรือแก่นประมาณ 2 องคุลี ประมาณ 3-4 ชิ้น นำมาต้มกับน้ำครึ่งถ้วยแก้ว เติมเกลือเล็กน้อย ใช้ดื่มหลังตื่นนอนตอนเช้าหรือก่อนอาหารเช้าครั้งเดียว 
  • ใช้เป็นยาถ่าย ยาระบาย ด้วยการใช้ใบอ่อน 2-3 กำมือ หรือแก่นประมาณ 2 องคุลี ประมาณ 3-4 ชิ้น นำมาต้มกับน้ำครึ่งถ้วยแก้ว เติมเกลือเล็กน้อย ใช้ดื่มหลังตื่นนอนตอนเช้าหรือก่อนอาหารเช้าครั้งเดียว 
  • ช่วยรักษารังแค ด้วยการใช้ดอกขี้เหล็กผสมกับมะกรูดย่างไฟ 2 ลูก โดยต้องย่างให้มีรอยไหม้ที่ผิวมะกรูดด้วย ใช้ดอกขี้เหล็ก 2 ช้อนโต๊ะ พิมเสน 1 ช้อนชา นำมาปั่นผสมกันแล้วเติมน้ำปูนใส 100 cc. ปั่นจนเข้ากัน แล้วคั้นกรองเอาแต่น้ำ จากนั้นนำน้ำมันมะกอกเติมผสมเข้าไปประมาณ 60-100 cc. ผสมจนเข้ากันแล้วนำมาหมักผมทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีก่อนการสระผมทุกครั้ง จะช่วยรักษารังแคได้ 

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

  1. สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
  2. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
  3. www.pharmacy.mahidol.ac.th