ขอบชะนางเขียว
  ชื่อสามัญภาษาไทยขอบชะนางเขียว
  ชื่อวิทยาศาสตร์Gonostegia pentandra (Roxb.) Miq.
  ชื่อพ้องPouzolzia pentandra (Roxb.) Benn.
  ชื่อวงศ์Urticaceae
  ชื่อท้องถิ่นหญ้ามูกมาย (สระบุรี), ขอบชะนางขาว หนอนตายอยากขาว หนอนขาว ขอบชะนางแดง หนอนตายอยากแดง หนอนแดง (ภาคกลาง), หญ้าหนอนตาย (ภาคเหนือ), ตาสียาเก้อ ตอสีเพาะเกล (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), เปลือกมืนดิน
 
 
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ต้นขอบชะนาง มีเขตการกระจายพันธุ์อยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด ได้แก่ ขอบชะนางแดงและขอบชะนางขาว โดยจัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกจำพวกหญ้า และเลื้อยแผ่ไปตามดินแต่ยอดจะตั้งขึ้น ลำต้นมีขนาดใหญ่กว่าก้านไม้ขีดเพียงเล็กน้อย โดยเป็นพรรณไม้ที่มักขึ้นตามเรือกสวนริมร่อง และขึ้นตามพื้นที่ร่มเย็นที่มีอิฐปูนเก่า ๆ หรือตามที่ผุพัง ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้ผล ลำต้นอยู่เหนือดิน ตั้งตรงเองได้ ลำต้นเรียบมีความสูงได้ประมาณ 2-3 ฟุต

ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน โดยใบของขอบชะนางแดงจะมีลักษณะเป็นรูปใบหอก ใบมีขนาดกว้างประมาณ 1.5-2.5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 5-8 เซนติเมตร ส่วนขอบชะนางขาวจะมีลักษณะของใบเป็นรูปค่อนข้างมนและกลมหรือเป็นรูปไข่ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 1-1.5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร เส้นใบของทั้งสองชนิดสามารถมองเห็นได้เด่นชัด เป็นเส้น 3 เส้น ใบจะมีขนาดใหญ่ประมาณ 2 กระเบียดนิ้ว ยาวประมาณ 1 นิ้วครึ่ง ถึง 1 นิ้วฟุต สีของใบและต้นของขอบชะนางจะเป็นสีม่วงอมสีแดง เฉพาะแผ่นใบนั้นสีจะเด่นชัด คือ หลังใบจะเป็นสีเขียวเข้มอมสีแดง และท้องใบจะเป็นสีแดงคล้ำ แต่ถ้าเป็นขอบชะนางขาวสีของใบจะเป็นสีเขียวอ่อน ๆ และทั้งสองชนิดจะมีขนเล็กน้อยอยู่ทั้งบนแผ่นใบและตามลำต้น

ออกดอกเป็นช่อกระจุกตามระหว่างซอกใบและตามกิ่ง ดอกมีขนาดเล็ก เป็นแบบแยกเพศ อยู่บนต้นเดียวกัน เป็นดอกเพศผู้กับดอกเพศเมีย โดยดอกของขอบชะนางแดงจะเป็นสีแดง ส่วนดอกของขอบชะนางขาวจะเป็นสีเขียวอมเหลืองหรือสีนวล

ผลเป็นผลแห้งไม่แตกแบบ achene[1] ผลเป็นสีน้ำตาลออกเป็นกระจุกตามซอกใบ มีขนาดประมาณ 2-3 มิลลิเมตร เมื่อแห้งแล้วจะร่วงหล่นลงบนดินหรือปลิวไปตามลม ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 1-2 เมล็ด เมล็ดมีลักษณะกลมรีสีน้ำตาลและมีขนาดเล็กมาก

สรรพคุณทั่วไป

  • ช่วยแก้อาการเบื่ออาหาร 
  • ช่วยแก้อาการอาเจียนเป็นฟอง 
  • ยอดอ่อนที่แตกใหม่ นำมากลั่นด้วยไอน้ำ ใช้รักษาอาการปวดหูได้ 
  • ผลแห้งนำมาบดเป็นผง แล้วใช้ทายาง ๆ บริเวณจมูกหรือนำมาใช้อุดฟัน จะช่วยแก้อาการปวดฟันได้ 
  • เปลือกต้นนำมาต้มผสมกับเกลือเค็ม ใช้อมรักษาโรครำมะนาด (โรคที่มีการอักเสบของอวัยวะรอบ ๆ ฟัน หรือโรคเหงือกอักเสบ) 
  • เหง้าอ่อนใช้ปรุงเป็นอาหาร ใช้รับประทานช่วยบรรเทาอาการปวดมวนท้องได้ดี และยังช่วยขับลมในลำไส้ได้อีกด้วย 
  • ใช้เป็นยาระบาย ด้วยการใช้เหง้าสดนำมาตำแล้วคั้นเอาแต่น้ำ 1 แก้ว แล้วผสมกับมะขามเปียกและเกลือใช้รับประทานได้ 
  • ช่วยรักษาอาการปวดท้อง ด้วยการใช้ผลของชะนางแห้งที่เอาเปลือกออก และพริกหาง ใส่เปลือกอบเชย แปะชุก ตังกุย แล้วนำมาคั่วและบดให้เป็นหยาบ ๆ โสม แล้วตัดส่วนหัวออก ให้ใช้อย่างละ 15 กรัม หู่จี้ แล้วคั่วให้แตกบดแบบพอหยาบ ๆ เปลือกส้ม 1 กรัม นำมาแช่กับน้ำและเอาใยสีขาวออก ชวงเจีย คั่วพอให้หอม 1 กรัม แล้วนำทั้งหมดมาบดรวมกันผสมกับน้ำผึ้ง แล้วปั้นเป็นยาเม็ดขนาดเท่าเมล็ดถั่ว ใช้รับประทานร่วมกับน้ำขิงครั้งละ 30 เม็ดเมื่อเริ่มมีอาการ 
  • ทั้งต้นนำมาปิ้งกับไฟแล้วชงกับน้ำเดือด ใช้เป็นยาขับพยาธิในเด็ก ส่วนใบก็ใช้เป็นยาขับพยาธิได้เช่นกัน 
  • ทั้งต้นนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาขับปัสสาวะ 
  • ใช้เป็นยารักษาโรคหนองใน 
  • เปลือกต้นนำมาหุงกับน้ำมันใช้ทาริดสีดวง 
  • ขอบชะนางทั้ง 2 ชนิดนำมาปรุงเป็นยาขับโลหิตประจำเดือนของสตรี ตำรายาไทยใช้ทั้งต้นนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาขับประจำเดือนของสตรี 
  • ใช้เป็นยาขับระดูขาวของสตรี 
  • ช่วยขับน้ำคาวปลาหลังการคลอดบุตรของสตรี ด้วยการใช้เหง้าสดนำมาตำแล้วคั้นเอาแต่น้ำ 1 แก้วแล้วผสมกับมะขามเปียกและเกลือใช้รับประทานได้ 
  • ใบนำมาใช้ต้มกับน้ำอาบหลังคลอดของสตรี 
  • ต้นมีสรรพคุณช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย 
  • ใบใช้เป็นยาทารักษากลาก 
  • ใช้รักษาเกลื้อน ด้วยการนำเหง้าสดมาหั่นเป็นแผ่นแล้วจุ่มลงในเหล้าขาว ใช้ทาบริเวณที่เป็นเกลื้อนเช้า, เย็น หรือจะใช้เหง้าแห้งนำมาบดเป็นผงแล้วผสมกับน้ำมันมะพร้าวใช้ทาก็ได้ ส่วนดอกสดก็สามารถนำมาใช้ทารักษาโรคเกลื้อนได้เช่นกัน 
  • ใบนำมาตำใช้พอกรักษาฝีและแก้อาการปวดอักเสบ 
  • เปลือกต้นใช้เป็นยารักษาพยาธิผิวหนัง 
  • ช่วยแก้พิษต่าง ๆ 
  • ใบใช้เป็นยารักษาอาการปวดเมื่อยตามข้อได้ 
  • เปลือกต้นใช้เป็นยาดับพิษในกระดูกและในเส้นเอ็น 
  • น้ำจากใบสดช่วยขับน้ำนมของสตรี 
  • ข้อมูลจากศูนย์สมุนไพรทักษิณระบุว่าขอบชะนางทั้งสองมีสารที่ช่วยแก้โรคมะเร็งได้ 
  • ใบใช้รักษามะเร็งเพลิง รักษามะเร็งลาม

 
 
แหล่งข้อมูลอ้างอิง

  1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5.  “ขอบชะนาง”.  (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).  หน้า 95-97.
  2. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ.  “ขอบชะนาง”.  (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล).  หน้า 171.
  3. ไทยเกษตรศาสตร์.  “ประโยชน์ของชอบชะนาง”.  อ้างอิงใน: ศาสตราจารย์ ดร.พเยาว์ เหมือนวงษ์ญาติ.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.thaikasetsart.com.  [11 ก.พ. 2014].
  4. ศูนย์สมุนไพรทักษิณ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.  “รายชื่อสมุนไพรแบ่งตาม สรรพคุณเภสัช”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: herbal.pharmacy.psu.ac.th.  [11 ก.พ. 2014].
  5. ฐานข้อมูลพันธุ์ไม้, มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์.  “หญ้าหนอนตายหยาก”.  อ้างอิงใน: หนังสือสมุนไพร..ไม้พื้นบ้าน (นันทวัน บุญยะประภัศร).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก:  www.sbg.uru.ac.th/page/database.php.  [11 ก.พ. 2014].